PM2.5 ผลกระทบทางสภาพอากาศกับสุขภาพของเรา

สภาวะอากาศสามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพของเราในหลายด้านได้ เช่นเป็นต้นที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ เมื่อมีมลพิษในอากาศมากขึ้นอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคหืดหรือหวัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลต่อสุขภาพจิต เมื่อเราอยู่ในบริเวณที่สภาวะอากาศไม่ดี เช่น อากาศมลพิษหรืออากาศร้อนจัดอาจส่งผลให้เรารู้สึกไม่สบาย มีอารมณ์เสีย หรือเครียดได้

การเผชิญกับสภาวะอากาศที่ไม่ดีในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรคเส้นเลือด โรคหัวใจ หรือโรคทางระบบประสาทได้ด้วย ดังนั้นการดูแลสภาพอากาศในสถานที่ที่เราอยู่ อาจมีความสำคัญต่อสุขภาพของเราทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ทั้งหมด

PM2.5

PM2.5 คืออะไร

PM2.5 (Particulate Matter 2.5) เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน มันเป็นส่วนหนึ่งของมลพิษที่ปล่อยออกมาจากหลายแหล่งเช่น ยานพาหนะ เฟรมที่เผาไหม้ โรงงาน และกิ่งแห่งเมืองที่มีการเผาไหม้ของน้ำมันหรือวัตถุเชื้อเพลิงอื่น ๆ

PM2.5 สามารถซึมผ่านทางทางเดินหายใจไปยังระบบทางเดินหายใจลึก ๆ ของมนุษย์ ซึ่งอาจเกิดปัญหาสุขภาพหลายประการได้ เช่น

  1. โรคหืดและหวัด: การถูกสัมผัสโดยตรงกับ PM2.5 อาจทำให้เกิดอาการการอักเสบในทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหืดหรือหวัด
  2. โรคทางเดินหายใจ: PM2.5 สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองในทางเดินหายใจ และมีผลต่อระบบทางเดินหายใจที่สำคัญ เช่น การเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหัวใจเต้นเร็ว โรคเรื้อรังหลอดเลือดหัวใจ และอื่น ๆ
  3. ภาวะทางจิต: มีการพบว่า PM2.5 สามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต อาจทำให้เกิดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเภทต่าง ๆ
  4. อุบัติเหตุทางถนน: มลพิษจาก PM2.5 อาจทำให้มลพิษในอากาศเพิ่มขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากมีผลกระทบต่อการมองเห็นและความชัดเจนในการขับขี่

การดูแลสุขภาพเมื่อมีสภาพอากาศที่มีค่า PM2.5 สูงอาจรวมถึงการสวมหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพดี เลี่ยงการอยู่นอกที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลาที่มีมลพิษในอากาศสูง และควรพยายามรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีสารอาหารมากพอเหมาะ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงต่อต้านการทำลายจากมลพิษในอากาศได้ดีขึ้น

PM2.5

การป้องกันตัวเองจาก PM2.5

เมื่อมีค่า PM2.5 สูงขึ้นในสภาพอากาศ การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้มาก ดังนี้:

  1. สวมหน้ากากอนามัย: การสวมหน้ากากอนามัย N95 หรือหน้ากากที่มีคุณสมบัติกรอง PM2.5 และมลพิษอื่น ๆ จะช่วยป้องกันการสูดซึม PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่นอกอากาศในสภาพที่มีมลพิษสูง ควรเลือกใช้หน้ากากที่สามารถป้องกัน PM2.5 ได้ดีที่สุดและสวมให้สนิทเหมาะสมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
  2. เลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษสูง: พยายามเลี่ยงการอยู่นอกอากาศในสถานที่ที่มีมลพิษจาก PM2.5 สูง เช่น การอยู่ในพื้นที่ที่มีการจราจรเข้มข้น หรือใกล้กับแหล่งกำเนิดมลพิษ เมื่อเป็นไปได้ ควรปิดหน้าต่างและประตูเพื่อลดการสูดซึมมลพิษจากภายนอกเข้ามาในบ้าน
  3. เลือกที่อยู่ในบริเวณที่มีคุณภาพอากาศดี: พยายามเลือกที่อยู่ในบริเวณที่มีคุณภาพอากาศดีโดยอยู่ในพื้นที่ที่มีการมลพิษน้อยกว่า เช่น อยู่ในพื้นที่ที่มีสวนสาธารณะหรือพื้นที่ที่มีสภาพอากาศบริสุทธิ์มากกว่า
  4. สำรวจคุณภาพอากาศ: สำรวจค่าคุณภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ ในบางพื้นที่จะมีการติดตั้งเครื่องมือวัดคุณภาพอากาศสาธารณะที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับมลพิษในอากาศ หากมีค่า PM2.5 สูง ควรระวังและปรับการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
  5. รักษาสุขภาพอย่างดี: การรักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและดื่มน้ำเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต้านการทำลายจากมลพิษในอากาศได้ดีขึ้น

การป้องกัน PM2.5 จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน เพื่อลดการปล่อยมลพิษออกไปในสภาพอากาศและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษในอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกใช้พลังงานที่สะอาด ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่น การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและการสร้างแหล่งพลังงานทดแทนอื่น ๆ ที่เป็นพลังงานสะอาด และPM2.5 จะค่อยๆ หมดไป